Google

วันอังคารที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2555

แก้ปัญหาเครื่องสตาร์ทไม่ติด Toyota hero ๑


แก้ปัญหาเครื่องสตาร์ทไม่ติด Toyota hero
****อันนี้ไม่เกี่ยวกับอาชีพนะครับแต่เผอิญว่าผมใช้
TOYOTA  HERO ก็รุ่นเก่ามากครับก็มีปัญหาบ้าง
แต่ไม่มากคือช่วงที่ใช้มาจะเจอปัญหาน้อยเต็มที่
มีอยู่ครั้งหนึ่งเครื่องสตาร์ทไม่ติดทั้งทั้งที่แบตเตอรี่ก็เต็ม
แต่สตาร์ทไม่ติด คือเครื่องยนต์มีกำลังเห็นได้ชัด
ก็ลองทำอยู่หลายครั้งก็เป็นอันรามือกัน
***ทีนี้ต้องไปปรึกษาช่างจำเป็นก็คือท่านเพื่อน ๆ ทั้ง
หลายของข้าพเจ้ากันล่ะก็ไอ้ตอนที่เราทำ
หามีความรู้เรื่องช่างไม่ก็เลยดึงนั่นดึงนี้ก็ประเภท
ฟิวส์นี้แหละครับ เพื่อนคนนี้เก่งหน่อยเพราะ
ดูว่าน่าจะเคยเจอปัญหาเดียวกันมาก็เลยเปาะแชะ
***คือตัว Toyota hero รุ่นนี้หรืออาจมีหลายรุ่น
เป็นต้องเผาหัวก่อนทุกครั้งอันนี้ก็เข้าใจครับ
เพื่อนผมมีวิธีแก้ที่ตรงจุดเลยนั่นก็คือ
ให้เราเปิดฝากระโปรงรถ จะสังเกตว่าจะมี
จุดเชื่อมต่อที่ช่วยในการเผาหัวจะอยู่ด้านขวา
ของเรา(ในกรณีที่เราหันหน้าเข้าหาตัวรถ)
จะอยู่ค่อนไปทางท้ายเครื่องจะสังเกตว่ามี
สายจั้มติดอยู่กับหัวเกลียวแถวตัวเครื่อง
***เมื่อเจอแล้วก็นำเอาสายไฟมากะพอให้ได้
ระยะของ แบตเตอรี่ กับ หัวที่เราจะนำไปจี้
อย่างในกรณีของผมคือแบตเตอรี่เต็มแต่สตาร์ท
ติดยาก ก็ให้นำปลายสายไฟที่ปลอกแล้วทั้งสอง
หัว คือให้เรานำปลายสายไฟข้างหนึ่งไปจิ่มติด
กับจุดที่ทำการเผาหัว และนำอีกปลายมาจิ่มต่อ
กับขั้วบวกของแบต ให้เรานับไปสักประมาณ
3-5 วินาที เสร็จแล้วก็นำสายทั้งสองปลายออก
จากนั้นให้สตาร์ทเครื่องได้เลยครับ ถ้าเครื่องติด
ก็แสดงว่าฟิวส์ขาดครับ
***ถ้าเราทำอย่างที่บอกแล้วติดก็ให้ทำการเปลี่ยน
ฟิวส์กันได้เลยราคาก็ประมาณ 60-80 บาท ทำเอง
ดีกว่านะครับเพราะไอ้เจ้าตัวฟิวส์ตัวนี้เปลี่ยนง่าย
ถ้าสังเกตให้ดีที่อยู่ใกล้ ๆ กับแบต จะมีตัวฟิวส์ตัว
ใหญ่อยู่ติดกันสองตัว ตัวนี้จะอยู่ด้านนอกของอีกตัว
ครับพอดึงออกมาก็จะเจอสายที่ต่อมาจากแบต
ทั้งสายเข้าและสายออกให้เราให้ปากตายหรือ
ไขควงนำสายออกก็ให้จำไว้ด้วยนะครับเวลาใส่
จะได้ไม่กลับกับผมใช้เวลาประมาณ เกือบครึ่งชั่วโมง
ก็เสร็จแล้วครับของผมมันถอดอยากเพราะไม่
เคยได้เปลี่ยนเลย
****ก็เป็นความรู้กันนะครับเพราะถ้าเกิดอาการแบบ
นี้จะได้ลองทำกันเองไม่ต้องไปให้เงินกับร้านค้ามาก
นักเพราะเราต้องประหยัดไว้ใช้เรื่องอื่นที่จำเป็นกว่า
สวัสดีครับ

วันพฤหัสบดีที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ขนมเข่ง



***การทำขนมเข่งก็มีทำกันหลายชนิด เช่นมีไส้ หรือเดี๋ยว
นี้ก็เป็นหน้ามะพร้าว แต่ที่เป็นของที่ทำกันมาแต่เก่าก่อน
ก็คือขนมเข่งที่เป็นแป้งล้วน ทำไม่ยากแต่เหนื่อยมากเพราะ
ไหว้ตรุษจีน สารทจีนที่ไรเหนื่อยทุกที มาทำทานกัน
**ส่วนผสมในการทำตัวแป้งขนมเข่ง
1.แป้งแป้งข้าวเหนียว 1ถุง( 500 กรัมแต่ก่อนชอบใช้แป้งตราดอก
กุหลาบ)
2.น้ำต้มสุก(บางที่ก็ใช้น้ำกะทิ)
3.น้ำตาลปีบ 1 ถ้วย (ไม่ควรใช้น้ำตาลปึก)
4.น้ำมันพืช
5.กระทงแห้งซื้อสำเร็จมากเลย
6.สีผสมอาหารสีแดง

***วิธีผสมแป้ง
1.      ให้นำแป้งมาเทใส่ในภาชนะ แล้วค่อย ๆ ใส่น้ำต้มสุก
ตามลงไปแล้วทำการคลุกเคล้าให้แป้งกับน้ำเข้ากัน
สักเกตว่าแป้งจะค่อย ๆ เหนียว
2. ให้เราใส่น้ำตาลบีปที่เตรียมไว้ใส่ลงไปแล้วทำการคลุก
เคล้าให้เข้ากันจนได้แป้งที่เหนียวได้ที่คือสามารถนำไปหยอด
ลงในกระทงได้เมื่อได้แล้วทำการคลุมไว้ด้วยผ้าขาวบาง
ทิ้งไว้ 3-4 ช.ม. หรือจะให้ดีทิ้งไว้ข้ามคืนเลยจะได้ความอร่อย
จากแป้งที่หมักไว้
3. ให้นำเอากระทงใบตองแห้งมาทาน้ำมันให้ทั่วแล้ววางเรียง
ลงในซึ้ง (หม้อนึ้ง) ตอนที่เราเตรียมการขั้นที่ 3 เราควรใส่
น้ำลงในหม้อนึ้งต้มคอยทีไว้ก่อน
4. หยอดน้ำแป้งที่ผสมไว้ลงใส่กระทงประมาณ ¾ ของกระทง
5. นำไปนึ่งในลังถึงที่ตั้งจนน้ำเดือดแล้ว ประมาณ 30 นาที
หรือที่ทำไหว้เจ้ากันที่บ้านก็คือให้จุดธูปทันทีเมื่อยกหม้อนึ้ง
ขึ้นตั้งไว้กะว่าเมื่อธูปหมดดอกก็คือสุกพอดี
6. ให้ลองใช้ไม้แหลมทิ่มดูว่าใช้ได้หรือยังถ้าใช้ได้ก็ยกลง
แล้วให้ใช้ก้านธูปจิ้มลงไปตรงกลางจะได้สีแดงตรงกลาง
ขนมเข่ง หรือใส่สีผสมอาหารสีแดงก็ได้
***เป็นอันเสร็จถ้าเราใช้แป้งที่ดี และใช้น้ำตาลบีปจากน้ำตาล
มะพร้าวจะได้ขนมเข่งที่เมื่อเย็นแล้วยังนุ่มนิ่มน่ารับประทาน
ไม่แข็งกระด้างจนกัดไม่เข้า นอกจากต้องเอาไปแช่น้ำแล้ว
ชุบไข่ทอดจึงจะทานได้ ขนมเข่งถ้านำไปทอดก็อร่อย
อีกเหมือนกันนะขอบอก

วันศุกร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2555

น้ำข้าวโพด



***การทำน้ำข้าวโพดเพื่อเป็นอาชีพก็น่าสนใจมากเพราะ
การทำไม่ยุ่งยากและใช้วัตถุดิบที่ง่ายอีกด้วยอีกอย่างน้ำข้าว
โพดยังมีคุณค่าทางอาหารที่มีประโยชน์อีกด้วยคือน้ำข้าวโพด
จะให้คุณค่าทางโภชนาการคือให้พลังงาน 133.47 กิโลแคลอรี่
และยังมีวิตามินเอสูงถึง 130 ไมโครกรัมอีกด้วยดังนั้นไม่ว่า
จะทำทานเองหรือทำเพื่อเป็นอาชีพก็ลองทำทานดูก่อน

***ส่วนผสมการทำน้ำข้าวโพด
1.ข้าวโพดหวาน 1 ถ้วย
2.น้ำเชื่อม ½ ถ้วย
3.น้ำเปล่าต้มสุก แล้วแต่ความต้องการให้ข้นหรือไม่
(3 ถ้วย)
4.เกลือป่น ปลายช้อนชา
***วิธีทํา
1.ให้เรานำข้าวโพดหวานไปนึ่งให้สุกแล้วก็ให้แกะเอาแต่เมล็ด
2.เติมน้ำต้มสุกลงไปแล้วใสเม็ดข้าวโพดใส่ลงในเครื่องปั่น
ให้ปั่นจนน้ำและเม็ดข้าวโพดละลายเป็นเนื้อเดียวกัน
จากนั้นก็เติมน้ำเชื่อมและเกลือป่นลงไป เป็นอันเสร็จ
จะนำไปแช่เย็นก็ต้องรอให้อุ่นก่อนนะ

วันพุธที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

สังขยาใบเตย ๒



***สังขยาใบเตยเป็นการนำวัตถุดิบจากธรรมชาติ
ที่มีอยู่แล้ว อีกอย่างปลูกง่ายทำเป็นการค้าอย่างเดียว
ก็ได้ ใบเตยเป็นเครื่องปรุงที่ขนมไทยขาดแทบไม่ได้
เพราะใบเตยมีกลิ่นที่หอมทำให้เจริญอาหารดีนัก
***เครื่องปรุงสำหรับทำสังขยาใบเตย
1.ใบเตย 10-15 ใบ
2.น้ำเปล่า 1 1/2 ถ้วย
3.กะทิ 2 ถ้วย
4.แป้งข้าวโพด 1/2 ถ้วย 
5.ไข่ไก่ 3 ฟอง
6.น้ำตาลทราย ½-1 ถ้วย
7.น้ำตาลปี๊บ 1 ก้อน หรือ ½ ถ้วย

****วิธีทำสังขยาใบเตย
 นำใบเตยมาหั่นเอารากออกแล้วล้างให้สะอาด จากนั้นก็
ให้หั่น หรือ ซอย เป็นท่อนเล็กๆ เพื่อจะได้นำไปใส่ในโถปั่น
ได้ง่าย ใส่น้ำเปล่าลงไปแล้วปั่นให้ละเอียด เมื่อได้น้ำใบเตย
ปั่นแล้วก็ให้นำมาคั้นเอาน้ำใบเตยเสร็จแล้วก็ให้กรองน้ำใบเตย
อีกทีจะได้น้ำใบเตยที่เราต้องการออกมา
ต่อไปก็ให้นำแป้งข้าวโพดมาใส่ผสมลงไปในน้ำใบเตย
ที่กรองไว้แล้วให้ทำการคนให้ทั่วจนแป้งละลายหมด
แล้วให้พักไว้  ต่อไปก็ให้นำน้ำตาลปี๊บลงไปละลายกับ
น้ำตาลทราย และกะทิ โดยให้ใส่ลงในภาชนะที่ใช้ผสมอีกใบ
คนไปในทางเดียวกันจนส่วนผสมละลายเข้ากันหมด
ต่อไปก็ให้นำส่วนผสมน้ำใบเตยนำมาเทรวมกับส่วนผสมน้ำกะทิ
คนไปในทางเดียวกันให้ส่วนผสมเข้ากันจนทั่วดี แล้วให้ทำ
การตอกไข่ใส่ชาม ตีให้ขึ้นฟู แล้วนำไปผสมกับส่วนผสม
ที่ผสมกันไว้ก่อนแล้วคนให้เข้ากัน จากนั้นก็ให้นำส่วนผสม
ที่ได้ไปทำการกรองด้วยผ้าขาวบางอีกครั้ง
ต่อไปก็ให้นำน้ำเปล่าประมาณ 3 ถ้วยใส่หม้อต้มให้เดือดโดยใช้
ไฟปานกลาง เมื่อน้ำเดือดได้ที่แล้วก็ให้นำส่วนผสมที่ได้ใส่
นำมาใส่หม้ออีกใบโดยให้เล็กกว่าหม้อใบแรกแล้วเอาไปใส่
โดยให้ใส่ซ้อนลงหม้อใบแรกที่น้ำเดือด แล้วลดไฟลงให้ค่อนข้างอ่อน
คนส่วนผสมไปในทางเดียวกันเรื่อยๆ จนส่วนผสมเริ่มข้นได้ทีแล้ว
ก็ปิดเตาและยกลงได้ เป็นอันเสร็จแล้ว

วันอังคารที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

น้ำสับปะรด



***การทำน้ำสับปะรดมีส่วนผสมไม่มากสามารถทำ
เพื่อการค้าขายได้เช่นเดียวกับน้ำฝรั่ง ทุนน้อยแต่ให้
ผลกำไรดีอยู่ ลองทำทานดูก่อนค่อยพัฒนาให้อร่อย
มากขึ้น แล้วทำบรรจุขวดขายรับรองว่า ไม่จน
***ส่วนผสม ในการทำน้ำสับปะรด
1.สับปะรด  ผลใหญ่ 1 ลูก
 2.น้ำเชื่อม1 ช้อนโต๊ะ
 3.เกลือป่นเสริมไอโอดีน 1/2 ช้อนชา (ปรับลดได้ถ้าเค็มไป)
****วิธีทำน้ำสับปะรด
ให้นำสับปะรดล้างให้สะอาด แล้วปอกเปลือกให้เรียบร้อย
โดยจะต้องเอาตาดำ ๆ ออกให้หมดด้วยจากนั้นให้นำไป
ล้างอีกครั้ง เสร็จแล้วให้เราคั้นสับปะรดเพื่อเอาแต่น้ำไว้
แล้วน้ำขึ้นต้มพอเดือดแล้ว เติมน้ำเชื่อม ใส่เกลือ แล้ว
ชิมรสตามชอบ จากนั้นทิ้งไว้ให้เย็น หรือ จะเมื่อได้น้ำสับปะรด
ที่คั้นเอาน้ำไว้แล้วจะทำการ เติมน้ำเชื่อม แล้วใส่เกลือ
ผสมลงไปเลยก็ได้
***น้ำสับปะรดก็มีคุณค่าทางโภชนาการที่ร่างกายจะได้ประโยชน์คือ
สับปะรดจะมีธาตุ แคลเซียม และฟอสฟอรัสมาก ซึ่งจะมีผลดีในการ
ช่วยบำรุงกระดูก และฟันของเราให้แข็งแรง นอกจากนี้สับปะรด
ยังมีวิตามินซีซึ่งจะช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟันได้ดีอีกด้วย
นอกจากนี้สับปะรดยังมีคุณค่าทางยาคือช่วยย่อยอาหาร
และลดอาการแน่นท้อง ลดอาการบวม อักเสบ แลยยังช่วย
ซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่สึกหรอ มีสารที่ช่วยในการขับ เสมหะ
***ถ้าต้องการรับประทานสับปะรดสด ๆ แนะนำว่าเมื่อปลอก
เปลือกเสร็จแล้วควรแช่ในน้ำเกลือก่อนรับประทานสด ๆ
เพราะจะได้ไม่ฝาดหรือกัดลิ้นเอาบางคนปากเปื่อยก็มี
ถ้าไงจะรับประทานแบบสด ๆ ก็แช่น้ำเกลือก่อนนะ สิบอกให้

วันอาทิตย์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2555

ขนมเทียน



***ขนมเทียน เป็นขนมหรือของหวานที่จะได้รับประทาน
กันก็เฉพาะวันตรุษจีน (ทำมากเพราะไหว้มากที่) กับวัน
สารทจีน แต่ในปัจจุบันรู้สึกว่าจะพอหากินได้เกือบทั้งปี
ก็ทำขายกันแหละ ขนมจีนสังเกตได้ว่าใครทำได้อร่อย
หรือก็คือ ไว้นานแล้วแป้งไม้แข็ง ไส้ขนมไม่ใส่น้ำตาลเยอะ
เกินไปส่วนมากไส้ขนมที่ที่บ้านทำตอนไหว้จะเน้นมะพร้าว
ล้วน ๆ คุณแม่ทำอร่อยแต่นี่แค่จำได้เท่านั้นอาจไม่อร่อย
เท่าก็ลองเพิ่มลดสูตรกันดู
***ส่วนผสมในการทำขนมเทียน
1. แป้งข้าวเหนียวทำน้อยก็ประมาณ 1 กิโลกรัม
2.น้ำตาลบีบ (น้ำตาลโตนด) 2-5 ถ้วยตวง ไว้สำหรับทำ
แป้ง กับ ทำไส้ขนม
3.น้ำตาลทราย
4.มะพร้าวทึมทึก(ไม่อ่อนและไม่แก่ใช้สำหรับทำไส้
หวาน) จะขูดด้วยมือ (ดีกว่า) หรือจะขูดด้วยกระต่าย
ขูดมะพร้าวก็ได้แต่จะไม่ใคร่อร่อย
5. ถั่วเขียวกะเทาะเปลือกนึ่งแล้วนำมาตำให้ละเอียด
สำหรับทำไส้เค็ม
6. พริกไทย 1 ช้อนชา(ส่วนผสมของไส้เค็ม)
7. น้ำมันพืช
8.เกลือป่น
9.ใบตอง ทำเตรียมไว้เลยโดยนำใบตองมาตัดเป็นแผ่น
กลมประมาณ ชามข้าว เช็ดให้สะอาดแล้วนำไปนึ่ง
จากนั้นก็นำไปตากแดดเพื่อให้หาย ควรทำไว้ 2 ขนาด
คือ ประมาณชาม 6-8 นิ้ว และ 4-5 นิ้ว เพราะควรลอง
ไว้สองชั้นจึงจะดี(ที่บ้านทำแบบนี้ทุกครั้ง)
*****วิธีทำ
ทำแป้งขนมก่อนโดย ให้ต้มน้ำไว้ทิ้งไว้ให้พออุ่นแล้วนำ
แป้งข้าวเหนียวใส่กะละมังหรือภาชนะที่ใช้ผสมแป้งจาก
นั้นให้ค่อย ๆ เทน้ำอุ่นที่เตรียมไว้ลงไปผสมกับแป้งแล้ว
ทำการนวดให้แป้งกับน้ำเข้ากันก่อนจากนั้นก็ให้นำน้ำตาล
บีบ จะเป็นก้อนก็ได้ ใส่ผสมลงไปแล้วทำการนวดให้เข้า
อีกครั้งจนเป็นเนื้อเดียวกันชิมได้ อย่าใส่น้ำตาลมากเพราะ
จะทำให้เวลาทำขนมเสร็จแล้วทิ้งไว้นานแป้งจะแข็งตัว
ทำให้ขนมไม่น่ารับประทาน(สูตรที่บ้านแต่ที่อื่นจะนำ
น้ำตาลไปเคี่ยวแล้วคลุกกบแป้งข้าวเหนียว)ก็ได้แล้วแต่สูตร
ของใคร เมื่อเสร็จแล้วก็เก็บไว้โดยคลุมผ้าขาวบางเอาไว้ด้วย
**คราวนี้มาทำไส้หวานกัน ก็ให้นำมะพร้าวที่ขูดเป็นเส้นเตรียมทำไส้หวาน ก็นำเอาน้ำตาลกับมะพร้าวนำไปผสมรวมกันแล้วเคี่ยวกับมะพร้าวจนแห้ง ช่วงนี้ทิ้งไปไหนไม่ได้เพราะไส้ขนม
จะมีกลิ่นไม่ได้ง่ายดังนั้นจึงต้องคอยเคี่ยวอยู่ตลอดเพราะช่วง
นี้กินแรงพอ ๆ กันทำแป้งทีเดียวเมื่อแห้งพอประมาณจึงปิดไฟ ทิ้งไว้ให้เย็นแล้วปั้นเป็นก้อนกลมๆ พอคำ
**ส่วนไส้เค็ม ก็เรานำน้ำมันใส่กระทะไปตั้งบนไฟโดยใช้ไฟ
ร้อนปานกลาง จากนั้นใส่ถั่วที่นึ่งไว้(ตำให้ละเอียด), พริกไทย, เกลือและน้ำตาลทราย ค่อยผัดจนหอมและส่วนผสมเข้ากันทั่วช่วงก่อนสุกให้ชิมได้เพราะจะได้ปรุงรสชาติเพิ่มเมื่อได้รสชาติที่
พอในแล้วจึงปิดไฟ และยกลงทิ้งไว้ให้เย็น แล้วปั้นเป็นก้อนเหมือนไส้หวานเสร็จแล้วก็ใช้ผ้าขาวบางคลุมไว้
***ต่อไปก็ให้นำใบตองที่เตรียมไว้ก่อนทำการห่อให้เช็ด
ใบตองด้วยผ้าจะอาดอีกครั้ง(ใช้ผ้าแห้ง)นำใบต้องซ้อน
กัน จกแป้งปั้นให้กลมแล้วบีบให้เป็นแผ่นกลม ๆ ใส่ไส้
เค็มหรือไส้หวานตามชอบ แล้วทำการรวบแป้งให้เป็นก้อน
กลม ก่อนใส่ลงในใบตองให้ทำใบตองเป็นรูปกรวยก่อน
จากนั้นนำแป้งที่ห่อไส้เรียบร้อยแล้วจุ่มลงไปในน้ำมัน
ที่เตรียมใส่ชามไว้แล้วเมื่อจุ่มแป้งในน้ำมันพืชให้ทั่วแล้วก็ใส่
ลงไปในใบตองที่ห่อเป็นรูปกรวย(สามเหลี่ยม)จากนั้นก็
ห่อใบตองปิดแล้วให้เรียบร้อย  ทำไปเรื่อย ๆ จนเต็มหม้อ
นึ่ง(ซึ๊ง) ประมาณ 2 ชั้นของหม้อนึ่งก็พอจะได้สุกพอดี
ให้นึ่งประมาณ 30 นาทีหรือมากกว่าอยู่ที่ความหนาของ
แป้งที่เราห่อด้วยก็คอยแกะดูก็ได้
****ข้อควรจำก็คืออย่าใส่น้ำตาลมากเวลาผสมกับแป้งเพราะ
จะทำให้แป้งขนมเทียนแข็งเวลาทิ้งไว้นานหรือเวลาเย็นตัว
อีกอย่างแป้งที่ทำ (จำไม่ได้แล้วว่าต้องใส่ดอกไม้อะไร
ลงไปด้วย ตัวนี้ต้องสั่งจากแม่กลองเพราะที่อื่นไม่ใคร่มี
นำมาเด็ดเฉพาะดอกล้างให้สะอาดแล้วนวดผสม
ลงไปในแป้งจะทำให้ได้รสชาติที่ดีมาก ใครจำได้ก็ช่วย
บอกมาด้วยนะ) อีกอย่างเวลาปั้นไส้หวานควรหาน้ำมาไว้
ใกล้ ๆ มือด้วยเพราะติดหนึบมากต้องใส่น้ำควรช่วยลด
ความเหนียวเวลาปั้นไส้ ไงก็บอกมาด้วยมาเป็นไง แต่บอก
ก่อนว่าจำได้เท่านี้ งานนี้ต้องแม่ทำรับรองอร่อยเพราะที่
ทำงานจะกินของที่เอาไปหมดก่อนทุกทีแล้วค่อยทาน
ของคนอื่นต่อ (ไม่ยอตัวเองเลยนะนี่)

วันพุธที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2555

ฟรุตพั้นช์



***ช่วงงานปีใหม่มีงานเลี้ยงที่หน่วยงานเห็นเค้าทำน้ำ “ฟรุตพั้นซ์”
ก็เลยสนใจเหตุเพราะนอกจากมีรสชาติที่แปลกแล้วยังได้ความหอม
ของผลไม้อีกด้วย เลยถามสูตรมาให้ลองดูไม่เสียหาย
**ส่วนผสมในการทำ “ฟรุตพั้นช์” มีดังนี้
1.น้ำผลไม้ ลิ้นจี่ 2 ออนซ์
2.น้ำส้ม 2 ออนซ์ 
3.น้ำหวานรสทับทิม ½ ของส่วนผสมน้ำผลไม้
4.ผลไม้ (ที่ชอบ) ตัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ
5.น้ำมะนาว 0.5 ออนซ์ 
6.น้ำแข็ง
****ผลไม้จะใส่กี่อย่างก็ได้แต่ที่นิยมก็แค่ 2 อย่าง เช่น
สัปปะรด+เชอร์รี่ก็ได้
***ขั้นตอนการทำฟรุตพั้นช์
ให้นำส่วนผสมทั้งหมดใส่ลงในเชคเกอร์ (อุปกรณ์สำหรับการ
ผสมเครื่องดื่ม)  เมื่อเข้ากันดีแล้วก็ให้ใส่น้ำแข็งก้อน ประมาณ
3ใน4  ของเชคเกอร์ จากนั้นก็ให้ออกแรงเขย่าให้แรงและเร็ว
ประมาณ 20-30 ครั้ง แล้วก็รินส่วนผสมที่เขย่าใส่ลงแก้ว
ประดับด้วยผลไม้ที่หั่นเตรียม จะประดับด้วยลูก เชอร์รี่ ก็ได้
พร้อมเสริฟได้ทันที ส่วนมาจะหมดก่อนทุกทีเพราะดื่มที่ไร
ก็เป็นต้องขอเพิ่มทุกทีไป

อาหารไทย

บทความที่ได้รับความนิยม